🏆 7 กลยุทธ์ทำงานหลายโปรเจกต์พร้อมกันอย่างไรให้ปัง 🏆

✔️ เริ่มวางแผน เมื่อต้องทำงานหลายโปรเจกต์พร้อมกันยิ่งต้องเพิ่งการวางแผนให้ดีกว่าเดิม เริ่มจากการประเมิณสถานการณ์เบื้องต้น เช่น ต้องทำอะไรบ้าง ต้องใช้ระยะเวลาในการทำเท่าไร ต้องใช้คนกี่คน✔️ จัดลำดับความสำคัญของงาน กำหนด task ที่จะต้องทำในแต่ละโปรเจกต์ พร้อมประเมิณความสำคัญของแต่ละ task แล้วเริ่มวางแผนทำ task ที่มีความจำเป็นและสร้างผลกระทบในงานแต่ละโปรเจกต์นั้น ๆ และมอบหมายงาน✔️ ใช้เครื่องมือจัดการงานโปรเจกต์แบบออนไลน์ เครื่องมือจัดการงานโปรเจกต์แบบออนไลน์ที่เป็นตัวช่วยชั้นดีให้คุณสามารถบริหารโปรเจกต์ที่มีมากมายอยู่ในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพพราะคุณและทีมสามารถเห็นภาพรวมของโปรเจกต์ได้แบบ real time และทุกคนในโปรเจกต์มองเห็นภาพรวมเดียวกัน✔️ หมั่นรีวิวและปรับแผนอยู่เสมอ จัดประชุมเพื่อรีวิวระหว่างทำงานแต่ละโปรเจกต์อยู่เสมอ เพื่อเช็กว่าการทำงานในโปรเจกต์ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ และเป็นการรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน✔️ รู้จักกระจายความรับผิดชอบ เพราะคุณมีงานหลายอย่างที่จะต้องทำ มีเรื่องหลายเรื่องที่จะต้องตัดสินใจในการทำโปรเจกต์แต่ละโปรเจกต์✔️ โฟกัสกับงานที่ทำอยู่เสมอ หลาย ๆ ครั้งคุณอาจจะหลุดโฟกัสทำให้ทำงานพลาดได้ง่าย ๆ และนอกจากการจัดเรียงความสำคัญแล้ว การโฟกัสในงานที่ทำอยู่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรละเลย✔️ สื่อสารกับทีมงานอยู่เสมอ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างคนในทีมยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การทำงานดำเนินไปได้ด้วยดี และประสบความสำเร็จได้ 😊😊

8 ทักษะเด็ดๆ ที่จะช่วยให้เด็กจบใหม่ ไม่ว่างงาน

มีทัศนคติเชิงบวก เป็นสิ่งที่องค์กรต้องการเป็นอย่างมากนื่องจากคนเหล่านั้นจะมีแต่ความคิดแง่ดี มองโลกในแง่ดี มีไหวพริบในการแก้ปัญหาได้ดี และรวดเร็ว การสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือสถานการณ์ขับขันที่เราจะต้องแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งภายในระยะเวลาที่รวดเร็วหากเราสามารถผ่านไปได้ จะแสดงถึงความมีสติ ความรอบรู้ หรือแม้แต่ความเป็นผู้นำ3.มีความอดทน เด็กยุคใหม่อาจถูกตีตราว่าเป็นคนยุคที่มีความอดทนต่ำ ไม่มีความอดทนอดกลั้น เจอเหตุการณ์อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่ทันใจก็จะเลิกล้มไป ไม่ทำ หรือลาออก4.ต้องมีความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ทุกองค์กร ทุกคนต้องการ พร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาจากสิ่งที่พลาดพลั้ง และตั้งใจ มุ่งมั่น และความสำเร็จอันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป5.มีความสามารถที่หลากหลาย การมีความสามารถที่หลากหลายนั้นทำให้เราเป็นเหมือนทรัพยากรที่มีค่ากับองค์กรมากขึ้น และอีกทางหนึ่งก็อาจจะเป็นคนที่พัฒนาองค์กรได้ถูกทิศถูกทางขึ้นด้วย6.สามารถปรับตัวให้เข้ากับองค์กรได้ดี วัฒนธรรมองค์กรที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในที่ทำงาน7.ความสามารถในด้านภาษา/ คอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ในงานปัจจุบัน ซึ่งทักษะภาษาอังกฤษนั้นยังเป็นทักษะทางภาษาอันดับ 1 ที่องค์กรต้องการ และทักษะทางคอมพิวเตอร์ แค่โปรแกรมMicrosoft office คงยังไม่เพียงพอ อาจจะต้องมีทักษะโปรแกรมอื่น ๆ เพิ่มเติม8.มีความรู้ความสามารถพื้นฐานในสายงานที่เกี่ยวข้อง แต่ละสายงานต้องการทักษะที่แตกต่างกัน เพื่อการทำงานที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ

🖐”ทำไมถึงลาออก” คำถามที่คุณควรถามเมื่อพนักงานลาออก ❓

1️⃣ ทำไมคุณถึงตัดสินใจลาออก ? สิ่งที่คุณควรรู้ให้ได้คือสาเหตุของการลาออก ซึ่งอาจจะอยู่นอกเหนือการควบคุมและหากอาจกลายเป็นสาเหตุใหญ่ในบริษัทคุณควรรีบแก้ไขต้นเหตุโดยด่วน 2️⃣ มีอะไรที่องค์กรควรปรับปรุงให้ดีขึ้นได้บ้าง เพื่อช่วยให้พนักงานมีความสุขและป้องกันไม่ให้พนักงานคนอื่นๆที่อาจจะเจอปัญหาเดียวกันจนทำให้อยากยื่นลาออกตาม 3️⃣ เพราะได้งานที่ใหม่เลยตัดสินใจลาออก? คำตอบของคำถามดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากเพราะช่วยให้คุณทราบถึงข้อเสนอจากบริษัทใหม่ คุณจะทราบถึงการแข่งขันทางด้านสวัสดิการ การทำงานที่ยืดหยุ่น และวั ฒนธรรมที่อื่นๆ 4️⃣ เงินเดือนที่ได้รับน้อยเกินไป ? อย่างน้อยคุณก็ได้ทราบถึงเรื่องของเงินเดือนที่พนักงานได้รับนั้นน้อยไปในความรู้สึกของพวกเค้า หากมีพนักงานที่แจ้งลาออกด้วยสาเหตุนี้เป็นจำนวนมาก คุณควรพิจารณาปรับโครงสร้างเงินเดือนทั้งองค์กรใหม่ 5️⃣ มีปัญหากับหัวหน้างานหรือไม่ ? แน่นอนว่าพนักงานคนดังกล่าวไม่กล้าจะพูดตามตรงกับหัวหน้างานของเขาเองในขณะที่ยังทำงานอยู่ แต่การถามด้วยคำถามสัมภาษณ์ก่อนลาออกจะช่วยให้เจอสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมาเกี่ยวกับหัวหน้างาน 6️⃣ เพราะความไม่โปร่งใสทำให้พนักงานรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม ? เป้าหมายของคุณคือการค้นหาถึงความโปร่งใสที่มีในองค์กรซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้พนักงานของคุณมีคุณค่า 7️⃣ คุณได้รับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสายงานเพียงพอหรือไม่ พนักงานลาออกด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สามารถพัฒนาตัวเองในสายอาชีพให้ดียิ่งกว่าเดิม คุณควรจัดหาโปรแกรมพัฒนาพนักงานภายในองค์กร 8️⃣ ชอบอะไรและไม่ชอบอะไรในงานคุณมากที่สุด สิ่งสำคัญคือการที่คุณได้รู้ว่าบริษัทได้มอบหมายงานที่ทำให้พนักงานทำงานด้วยความสุข 9️⃣ คุณจะแนะนำงานที่นี่ให้เพื่อนต่อหรือไม่ ถ้าไม่ ช่วยบอกเหตุผล ? ถึงแม้ว่าพนักงานนั้นกำลังจะลาออกจากงาน คุณยังอยากให้พนักงานดังกล่าวพูดถึงบริษัทในทางที่ดี แต่หากผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คุณควรค้นหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาจะดีกว่า 🔟มีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมอีกไหม คำถามที่ทรงพลังมากที่สุด ซึ่งคุณอาจเลือกไม่ถามพนักงานตอนสัมภาษณ์งานแต่ให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับองค์กรอย่างแท้จริง 😊😊

🚫 รับมือเพื่อนร่วมงานขี้บ่น ตัดบทยังไงไม่ให้น่าเกลียด 🚫

💭 กำหนดนโยบายองค์กรที่รัดกุม มนุษย์ขี้บ่น ติโน่นนี่ไปเรื่อย งานเยอะก็บ่น งานน้อยก็คอมเพลน มีอยู่ในทุกองค์กร ดังนั่นองค์กรควรกำหนดนโยบายการทำงานที่ชัดเจน ตลอดจนจัดสถานที่ทำงานให้ปลอดจากการพูดสิ่งไม่สร้างสรรค์ สร้างองค์กรที่เมื่อพักเบรกจากเวลางาน จะคุยแต่เรื่องราวที่มีสาระ 💭 จับตาดูพฤติกรรมคนช่างบ่น ช่างติ คอยติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดโดยการให้เขามีส่วนร่วมกับโปรเจกต์งานที่ทำอยู่เสมอ หัวหน้างานเองก็ไม่ควรปล่อยปะละเลย เข้ามามีส่วนร่วมกับทีม เพราะมนุษย์ขี้บ่นเหล่านี้ ชอบอยู่ใต้เรดาร์การจับจ้องของหัวหน้าได้ดี 💭 ให้โอกาสในการปรับตัว หากพฤติกรรมความขี้บ่นสร้างปัญหามากเกินไป ถึงเวลาที่จะต้องเรียกพนักงานมาตักเตือน โดยเริ่มจากการให้คำแนะนำและปรับเปลี่ยนทัศนคติ ว่าการพร่ำบ่นนั้นทำลายบรรยากาศการทำงานของเพื่อนร่วมงาน 💭 ออกมาตรการที่เด็ดขาด หลังจากให้โอกาสปรับตัวแล้ว แต่พฤติกรรมช่างบ่น ขี้นินทายังไม่เปลี่ยน ก็ต้องใช้มาตรการหนักในการจัดการ และมีเอกสารให้ลงนาม 💭 ถ้ายังไม่ดีขึ้นก้ต้องปล่อยไป ถึงแม้พนักงานจอมบ่นจะมีความสามารถเรื่องงานหรือทักษะ Hard Skill มากเพียงใด แต่หากพฤติกรรมของคุณ ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่สามารถทำงานร่วมด้วยได้ องค์กรก็อาจไม่เลือกที่จะเก็บคุณไว้ 😊😊