🏆 7 สวัสดิการมาแรงในยุค 2022 เอาใจคนรุ่นใหม่ 🏆
✔️ ระบบการทำงานแบบยืดหยุ่น นช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ เทรนด์การทำงานแบบ Hybrid ลดวันเข้าออฟฟิศ หรือสลับวัน Work from home เป็นอะไรมาที่มาแรงแบบทะลุเพดาน ✔️ สวัสดิการด้านสุขภาพ การตรวจสุขภาพประจำปี ประกันสุขภาพ ประกันชีวิตต่าง ๆ เป็นสิ่งที่องค์กรควรมีให้พนักงานเป็นสวัสดิการพื้นฐาน ✔️ สวัสดิการที่ส่งเสริมงานอดิเรก นอกเหนือจากในแง่การทำงานแล้ว การสนับสนุนความสุขของพนักงานในด้านอื่น ๆ ก็เป็นทางเลือกที่ซื้อใจคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าใจของคนทำงานเป็นสุข ได้รับการเติมเต็มที่ดี ย่อมส่งผลถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✔️ สวัสดิการด้านวันลาที่ยืดหยุ่น ข้าใจว่าตามกฎหมายแรงงานให้วันหยุดพักผ่อนประจำปี ขั้นต่ำอยู่ที่ปีละ 6 วัน แต่ในความเป็นจริงของปุถุชนทั่วไป เราไม่ได้สวมหมวกเป็นแค่พนักงานออฟฟิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรายังเป็นลูก เป็นภรรยา เป็นพ่อ เป็นแฟน เป็นโลกทั้งใบของสัตว์เลี้ยง ยังมีอีกหลายสิ่งที่คนทำงานต้องแบกภาระไว้บ่นบ่า วันลาพื้นฐานดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ ✔️ สวัสดิการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต ด้วยสภาวะหลายอย่างในปัจจุบัน ซึ่งบีบคั้นให้คนต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่มีปัญหาทางจิตใจมากขึ้น “โรคซึมเศร้า” เป็นหนึ่งในโรคที่พบมากในวัยทำงาน ✔️ สวัสดิการที่ตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์ ข้อนี้เป็นสวัสดิการที่เน้นเรื่องไลฟ์สไตล์ […]
พนักงาน 12 แบบ ที่องค์กรต้องร้องยี้
1.ทำงานไปวันๆ ไม่สนโลก คือ ประเภทที่ทำงานแบบขอไปที ตื่นมาทำงานแล้วก็นับเวลารอเลิกงาน แต่ในระหว่างวันแทบไม่ใส่ใจในเนื้องาน หรือสนใจที่จะพัฒนาตนเองเลย2.วิจารณ์เก่ง บุคคลประเภทนี้มักมองทุกอย่างในแง่ลบอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องของงานหรือแม้กระทั่งเรื่องราวทั่วไปของบริษัท3.คนที่ไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง คนประเภทนี้มักไม่อยากก้าวออกจากกรอบ แม้บริษัทจะหยิบยื่นข้อเสนออันโอชะให้ โดยคนพวกนี้มักปฏิเสธว่าตนเองไม่พร้อม ยังไม่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ4.ป่วยทิพย์ ตามกฎหมายที่ระบุไว้ให้จำนวน 30 วันต่อปี แต่พนักงานบางคนก็ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการมาเล่นแง่กับบริษัทในการใช้วันลาป่วย แต่แท้จริงแล้วคือการป่วยทิพย์5.สายเสมอ พนักงานประเภทนี้มักมีนาฬิกาไว้เป็นแค่เครื่องประดับ แต่แทบไม่ได้สนใจเวลาที่อยู่บนข้อมือเลย6.นินทาคนอื่นเป็นกิจวัตร เรื่องราวของการนินทาแม้จะมีอยู่ในทุกสังคม โดยเฉพาะในสังคมมนุษย์เงินเดือน ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้7.สร้างกลิ่นทำลายบรรยากาศ สุขอนามัยถือเป็นเรื่องสำคัญในการใช้ชีวิตกับคนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นตด8.คุยโทรศัพท์ส่วนตัวในเวลางาน การคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัวในเวลางาน อาจจะไม่เรื่องที่ผิดอะไรนัก แต่บางคนดันเอาเวลางานไปโทรศัพท์คุยเล่นกับเพื่อนในเรื่องที่ไม่จำเป็นบ้างหรือหายตัวไปจากโต๊ะทำงาน เพื่อคุยโทรศัพท์นานๆ9.รับบทแม่ค้า เปิดตลาดขายของ การนำสินค้ามาให้ขายให้แก่เพื่อนๆ ในออฟฟิศ ก็อาจไม่เรื่องแปลกและไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไรนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้คำว่ากาละเทศะด้วย10.ทำตัวเป็นโทรโข่ง การคุยเล่นเพื่อผ่อนคลายในระยะเวลาสั้นๆ จากงานที่ตึงเครียด ก็ย่อมพออนุโลมได้ แต่ถ้าหากเสียงที่เกิดขึ้น ดันเป็นเสียงเพลงจากลำโพง เสียงหัวเราะพูดคุยหยอกล้อกันตลอดทั้งวัน ย่อมก่อให้เกิดการทำลายสมาธิในการทำงานของเพื่อนร่วมงานได้11.ชีพจรลงเท้า จะมีพนักงานบางพวกที่ชอบเดินไปคุยกับคนนู้นทีคนนี้ที เดินไปหากันแบบข้ามแผนก แล้วยืนเม้าท์กันแบบนานเกินเหตุ12.เคลมทุกอย่างเป็นผลงานตัวเอง เคยไหมที่ทำงานแทบตายแบบถวายหัว แต่สุดท้ายโดนเพื่อนร่วมงานขโมยเครดิตไปเสียอย่างนั้น
🎯 เคล็ดลับ สอนพนักงานใหม่ให้เรียนรู้และเป็นงานเร็ว 🎯
🌈 เตรียมแผนการสอนงาน ผู้สอนต้องมีแผนการสอนที่สามารถถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น เอกสาร หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นในการสอนพนักงานใหม่การเตรียมแผนการสอน ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดแผนการสอนงานที่ดีเท่านั้น แต่ยังจะทำให้ตัวผู้สอนเองได้ทบทวนความรู้ 🌈 ต้องมีเวลาสอนอย่างเต็มที่ ผู้สอนต้องมีเวลาในการสอนงานอย่างเต็มที่ อย่าอ้างว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสอนให้ หากเป็นเช่นนั้น การที่เราจะได้พนักงานใหม่ที่ทำงานเป็นเร็วก็ต้องยืดเวลาออกไปอีก 🌈 อย่าคิดว่าทำเองแล้วจะเร็วกว่า “ทำเองเร็วกว่าตั้งเยอะ” หากผู้สอนยังคงมีความคิดเช่นนี้อยู่ การที่พนักงานจะได้รับความรู้ และทำงานเองได้เร็วก็คงจะเป็นเรื่องยากเพราะพนักงานคนนั้นก็จะไม่ได้ทำงานเองจริง ๆ เสียที ไม่ได้ทดลองแก้ปัญหา หรือเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวเองจริง ๆ 🌈 ใจเย็นและให้โอกาส ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พนักงานใหม่มักจะสร้างความผิดพลาด เมื่อต้องทำงานเองเป็นครั้งแรก คุณควรที่จะมีความใจเย็น บางครั้งเราอาจจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเขาไม่สามารถทำตาม หรือเข้าใจในส่ิงที่เราพูดได้ บางครั้งอาจจะทำได้ช้ากว่าที่คาดหวังไว้ ผู้สอนต้องให้โอกาส ลดความคาดหวังให้น้อยลงสักนิด 😊😊
ทำอย่างไรดี เมื่อลูกน้องมีปัญหา?
1.พูดคุยกันเมื่อทำผิด ในฐานะหัวหน้างานควรหาโอกาสเข้าไปพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ควรแสดงออกว่าคุณต้องการว่ากล่าวตักเตือนเพียงอย่างเดียวควรแสดงเจตนาว่าต้องการช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น2.เริ่มต้นอย่างนุ่มนวล ควรเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคุณอาจจะให้สัญญาณว่า กำลังจะเริ่มต้นพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องลำบากใจที่จะพูดถึงแต่คุณก็จำเป็นต้องพูด เพื่อหาแนวทางแก้ไข3.ชี้ให้เห็นผลดีเมื่อแก้ปัญหาสำเร็จ วิธีพูดคุยที่ดีที่สุดคือการพูดอย่างตรงไปตรงมา และเข้าใจง่าย ไม่ต้องอ้อมค้อม โดยบอกลูกน้องว่าหากเขาสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้จะส่งผลดีอย่างไรต่อตัวเขาและองค์กร4.ทำข้อตกลงในการปรับปรุงตน เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจแล้ว ควรกำหนดระยะเวลาในการปรับปรุงตน อาจเริ่มตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไปจนถึงระยะเวลาเท่าใดให้ลูกน้องเป็นผู้กำหนดกรอบเวลาด้วยตนเอ5.ติดตามผล เมื่อถึงเวลาการประเมินผล คุณอาจพบว่าบางปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อาจเป็นเพราะยังแก้ไม่ถูกจุด คุณอาจต้องลองวิเคราะห์ปัญหาดูอีกครั้งและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
💡 สาเหตุที่ลูกน้องไม่ยอมรับเป็นเพราะอะไร มาดูกัน 💡
👉คุณคิดเล็กคิดน้อย หยุมหยิมเกินไปหรือเปล่า เช่น ลูกน้องลาป่วยก็จ้องจับผิดว่าป่วยจริงหรือเปล่า ถึงแม้จะรู้ว่าลูกน้องป่วยการเมือง ก็แกล้งทำเป็นเฉย ๆ บ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกว่ารู้ทันลูกน้องไปเสียทุกอย่าง👉ปล่อยปละละเลยลูกน้องเกินไปหรือเปล่า บางทีก็เป็นเรื่องของความพอดีไม่จู้จี้มากไป และไม่ยืดหยุ่นจนขาดวินัย หัวหน้าที่ดีต้องช่างสังเกต รู้ว่าแต่ละคนในทีมกำลังทำอะไรอยู่👉ห่างเหินลูกน้องเกินไปหรือเปล่า หัวหน้าที่คลุกคลีกับลูกน้องอยู่เสมอจะเกิดความสนิทสนมและลูกน้องเกิดความไว้วางใจ แล้วคุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า👉 หูเบาหรือเปล่า ลูกน้องที่ชอบประจบเจ้านายมีอยู่ไม่น้อย และการแก่งแย่งชิงดีเพื่อเป็นที่รักของเจ้านายก็พบเห็นได้อยู่บ่อย ๆ ในฐานะหัวหน้าคุณต้องวางตัวเป็นกลาง มีความยุติธรรม ไม่รักลูกน้องคนไหนมากเป็นพิเศษ👉เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกน้องหรือเปล่า หากคุณไม่ทำตัวให้น่านับถือ การแต่งตัว การวางตัว ดูไม่เป็นมืออาชีพเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังลูกน้องใครที่ร่วมงานด้วยย่อมอึดอัด คุณควรปรับปรุงตัวเป็นแบบอย่างที่ดี และสร้างบรรยากาศการทำงานให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น 😊😊