ทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) ถือว่าเป็น “ทางรอด” จากการเป็นลูกจ้างระดับปฎิบัติการจนก้าวไปสู่ระดับผู้จัดการหรือผู้บริหารได้ในที่สุด ผมจะบอกข้อดีของการได้ขึ้นเป็นผู้บริหารองค์กรหรือว่าจะนำทักษะนี้ไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ได้ ดังนี้ครับ
– รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นลูกจ้างระดับ 3-5 เท่า เงินเดือนแสนสองแสนขึ้นไปแน่นอน
– ทำงานสบายขึ้น (เรื่องจริง) คือมีลูกน้องคอยทำงานหรือดูโปรเจคให้จนคุณสบายขึ้น
– งานส่วนใหญ่เน้นในส่วนการตัดสินใจ การเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน การเข้าพบลูกค้าใหญ่
– ได้หน้าได้ตาแน่นอนในกรณีที่องค์กรของคุณประสบความสำเร็จ ทำยอดขายทะลุเป้า
– มีโอกาสได้ออกสื่อหรือเป็นตัวแทนบริษัทในการเข้าร่วมงานต่างๆ
– คอนเนคชั่นทางธุรกิจหรือโอกาสในการทำงานระดับสูงอีกมากมาย (ถ้าคุณเจ๋งจริง)
เอาแค่ 6 อย่างนี้ ผมก็เชื่อว่าเป็นงานที่คนทำงานแบบมืออาชีพหลายๆ คนใฝ่ฝันแล้วล่ะครับ แต่อย่างที่บอก หลายๆ คนมักไม่รู้ตัวว่าต้องเตรียมตัวหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองมากแค่ไหนถึงจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ เพราะตำแหน่งนี้ก็เปรียบได้กับ “ปิรามิด” ที่คนที่ถูกเลือกถึงจะได้อยู่ตรงจุดนั้น ความลับของการไปถึงตรงนั้นก็คือทักษะความเป็นผู้นำนั่นเอง เก่งงานอย่างเดียวไม่พอครับ คุณจำเป็นต้องสร้างทักษะนี้ด้วยตนเองหรือรับการโค้ชชิ่งและลงมือทำให้ได้
1. สร้างได้จากทักษะการสื่อสารที่ดี
เบสิคของการสื่อสารที่ถูกสอนกันมาตั้งแต่เด็กก็ไล่ตั้งแต่การพูดจาแบบมีหางเสียง น้ำเสียงน่าฟัง พูดให้ชัดเจน คิดก่อนพูดอยู่เสมอ และควรมีกาละเทศะในการพูด แก่นแท้ของการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมก็คือ “การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นตลอดเวลา” เคล็ดลับก็คือลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นคนฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไรนั่นเอง เพราะคุณเองคงไม่อยากได้ยินคำพูดอะไรที่ไม่เข้าหูแน่ๆ ทักษะชั้นสูงของเรื่องนี้คือเวลาคุณพูดหรือถามอะไร คุณสามารถคาดหวังคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้จากผู้ฟังเพราะคุณคิดมาก่อนแล้วว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรนั่นเอง
2. เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ
นี่คือสิ่งสำคัญมากในการปกครองคนหรือสื่อสารกับเบื้องบน คุณต้องเริ่มเข้าใจตั้งแต่วันที่คุณเป็นลูกน้องระดับล่างสุด เป็นเด็กจบใหม่ ไปจนถึงตอนเริ่มมีประสบการณ์ มันจะทำให้คุณรู้เลยว่าคนแต่ละยุคนั้นก็มีสิ่งที่เหมือนกัน และคุณสามารถสื่อสารสิ่งที่พวกเขาอยากจะฟังได้ดีขึ้นแน่นอน อีกทั้งยังสามารถลดความขัดแย้งหรือต่อรองเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นก็คือคนที่เอาแต่คิดถึงแต่ตัวเองครับ อย่างนี้ไม่มีทางเป็นผู้นำได้
3. วิสัยทัศน์และความทะเยอทะยาน
วิสัยทัศน์สามารถสร้างได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย มันมีพื้นฐานมาจากทัศนคติเชิงบวกแบบเติบโต (Growth Mindset) คือการคิดอะไรและมองหาความเป็นไปได้ ในขณะที่ตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ เช่น คุณคิดว่าคุณขายไม่เก่งแต่มี Growth Mindset คุณจึงเริ่มคิดว่าควรจะศึกษาจากคนที่เก่งและเรียนรู้ได้จากการฝึกฝน เพราะคุณเชื่อว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด อย่างนี้คือ Growth Mindset ซึ่งเรื่องนี้คือแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ที่คุณมองความเป็นไปได้ว่าองค์กรสามารถไปได้ไกลกว่านี้ คนในองค์กรพัฒนาได้มากกว่านี้ และคุณจะทำให้สำเร็จ
4. การจัดการและการบริหารคน
จริงอยู่ที่ตอนเป็นลูกน้องนั้น คุณคงใช้งานหรือมอบหมายให้คนอื่นทำไม่ได้ คุณคงไม่ได้ฝึกทักษะนี้เท่าไหร่ แต่ถ้ามีโอกาสที่แม้จะเล็กน้อยที่สุดก็ต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ เช่น คุณทำงานมาประมาณ 2-3 ปี บริษัทจ้างเด็กจบใหม่มาให้คุณเป็นพี่เลี้ยง นี่คือโอกาสที่จะทำให้คุณรู้จักการบริหารและสร้างคนให้เก่งขึ้น จงดูแลพวกเขาด้วยการสอนงานแบบโค้ชชิ่งซึ่งต้องวัดผลได้ รู้จักสื่อสารและ Feedback ผลการทำงานซึ่งกันและกันเสมอเพื่อปรับปรุงสไตล์การทำงานทั้งสองฝ่าย หรือต้องดูคนให้ออกว่าคนนี้เก่งเรื่องอะไร และมอบหมายงานตามความเหมาะสมโดยที่คุณคอยติดตามและวัดผลไปด้วย เป็นต้น
5. ทักษะการดึงดูด เชื้อเชิญ และสร้างอิทธิพลเชิงบวก
เชื่อหรือไม่ว่าทักษะนี้หลายๆ คนมักคิดไปเองว่าจะมีการดึงดูด มีเสน่ห์ เป็นผู้มีอิทธิพล (Influencer) จะต้องมีหน้าตาที่ดี มีอารมณ์ขัน จีบสาวเก่ง อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็ถูกครับแต่ไม่ทั้งหมด ทักษะเหล่านี้จะต้องถูกขับดันจากภายในจิตใจที่มีความจริงใจ คิดเชิงบวกเสมอ สื่อสารได้ดีและไม่ใช่อารมณ์ เป็นผู้ฟังมากกว่าพูดมาก นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ทุกคนยอมรับได้โดยไม่ต้องพูดเยอะก็คือทักษะการทำงานที่เก่งกาจตั้งต้นนั่นเอง การเชิญชวนใครก็ตามให้เห็นด้วยจะต้องมาจากการยอมรับในตัวของคนคนนั้นก่อนนั่นเอง
Credit: https://www.sales100million.com/single-post/how-to-create-leadership-skill/